วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

1. ด้าน Hardware

Hard Ware 
 
หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)  หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน


ามารถแบ่งส่วนประกอบของ Hardware ได้เป็น 5 หน่วยที่สำคัญ คือ
1.หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่ในการรับโปรแกรม และข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูลเข้า ได้แก่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด (Keyboard) เครื่องสแกนต่างๆ เช่น เครื่องรูดบัตร สแกนเนอร์ ฯลฯ


2.หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำ หน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล เพื่อเตรียมส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไป

3.หน่วยประมวลผลกลาง (CPU หรือ Central Processing Unit) ทำ หน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งที่ปรากฏอยู่ในโปรแกรม หน่วยนี้จะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ อีก 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยคำนวณเลขคณิตและตรรกวิทยา (ALU หรือArithmetic and Logical Unit) และ หน่วยควบคุม (CU หรือ Control Unit)

4. หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storge) ทำ หน้าที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมที่จะป้อนเข้าสู่หน่วยความจำหลักภายในเครื่อง ก่อนทำการประมวลผลโดย ซีพียู รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บผลลัพท์จากการประมวลผลด้วย เพื่อการใช้งานในภายหลัง

5. หน่วยแสดงข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพท์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

     

ด้าน Software

ด้าน Software OS ล่าสุดหรือน่าสนใจ



เป็น OS ใหม่ล่าสุดจาก Microsoft ออกมาพร้อมโฉมหน้าการใช้งานแบบที่เรียกว่าน่าทึ่งไปเลยทีเดียวกับ Windows Mobile 7 พร้อมเปลี่ยน Logo ใหม่การมาของ OS ใหม่ Windows Mobile 7 ตอนนี้เอง ก็มีโฉมหน้า และการใช้งานออกมาแล้ว มีฟีเจอร์การใช้งานมากมายที่น่าทึ่ง อาจจะเรียกว่า OS ตัวนี้เป็นการผลิกโฉมหน้าของ Windows Mobile กันอีกครั้งหนึ่ง

มีอะไรใหม่บ้างใน Windows Mobile 7
สำหรับ Windows Mobile 7 นี้ จะมาเปลี่ยนวิธีการใช้งานโทรศัพท์ Windows Mobile Phone ที่เรียกว่า ลืมการใช้งานในปัจจุบันนี้ไปได้เลย ซึ่งทุกๆ การใช้งานบน Windows Mobile 7 จะขึ้นอยู่กับการสัมผัสบนตัวอุปกรณ์ ที่เรียกว่า motion gesture แปลความหมายได้ว่า การเคลื่อนไหว และการแสดงท่าทาง ซึ่งในที่นี้หมายถึง การใช้การเคลื่อนไหวการสัมผัสลงบนหน้าจอของ Windows Mobile Phone นั่นเอง รวมถึงการขยับ สั่น หรือเขย่า ตัว Windows Mobile Phone เองด้วย  และแน่นอนว่ามีการใช้งาน Multi-Touch ที่เราใช้งานกันบน iPhone อยู่ในตอนนี้อยู่ด้วย
Windows Mobile 7 สามารถใช้การแสดงท่าทางในการสัมผัส คล้ายการทำงานของ iPhone สามารถ scroll หน้าต่าง ได้ง่ายในกรณีที่มีข้อมูลเกินหนึ่งหน้า และยังสามารถใช้การวาดลงบนหน้าจอเพื่อควบคุมการมองเช่น ย่อหรือขยายหน้าจอขณะนั้นๆ รวมถึงแพน หน้าจอไปยังส่วนต่างๆ ได้นอกจากนี้ยังนำ Motion Gestures มาประยุกต์การทำ งานต่างๆ สามารถนำกล้องมาใช้งานตรวจสอบการเคลื่อนไหวสร้างแอคชั่นแบบต่างๆ ได้ และยังสามารถใช้การ เขย่า หรือหมุนเครื่อง เพื่อจะทำบางสิ่งบางอย่าง เช่นปลดล็อคหน้าจอ และยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าสามารถดับหน้าจอเวลาไหนที่ใช้งาน ขณะไม่ใช้งานก็จะดับเองโดยอัตโนมัติ
Windows Mobile 7 ยังได้รับอิทธิพลจาก Windows Vista  ที่นำการใช้งานและรูปแบบของอินเตอร์เฟส และฟีเจอร์ต่างๆ มาประยุกต์ใช้งานบน Windows Mobile 7 โดย เฉพาะเรื่องหน้าตา กราฟิค หรือเอฟเฟ็คต่างๆ และนอกจากนี้ยังออกแบบมาให้ใช้ควบคุมการทำงานโดยการใช้นิ้วของเรา โดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องใช้สไตลัสกันอีกต่อไป แน่นอนว่า สามารถใช้งานทุกๆ ด้านโดยใช้มือเดียว อย่างที่เราต้องการกันในทุกวันนี้ และ OS เดิมๆ ก็ยังไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ แต่ Windows Mobile 7 จะให้เราได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ง่ายต่อการทำความเข้าใจในการใช้งาน และสนุกอีกด้วย  ไม่เพียงเท่านั้น Windows Mobile 7 ยัง ออกแบบมาให้เหมาะกับอุปกรณ์ทุกชนิด ทั้งที่ไม่มีปุ่มเลย หรือมีปุ่มน้อยที่สุด หรือว่าจะมีปุ่มใช้งานมากมายนับไม่ถ้วน หรือบนอุปกรณ์ที่มี keyboard (QWERTY) หรือว่าอุปกรณ์ที่ไม่สามารถสัมผัสหน้าจอได้ก็ตาม เรียกว่ารองรับทุกอุปกรณ์
Windows Mobile 7 ถูกออกแบบมาให้เรียบง่าย สะดวกกับการใช้งานทางด้าน mutimedia ทั้งการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ วีดีโอรวมถึง เกมส์ และแน่นอนจุดอ่อนสำหรับ Windows Mobile ที่มีมายาวนานก็คือ Browser ที่จะได้พบกับการใช้งานแบบใหม่ โดยใช้การแทปหน้าจอ หรือนำเอาการเขย่าเครื่อง หรือเอียงเครื่องมาใช้ในการเปลี่ยนหน้าเว็บเพจ
 

3.ด้าน People ware

สายงานด้านไอที

สำหรับ สายงานด้านไอทีปัจจุบันมีให้เลือกสมัครจำนวนมาก รวมทั้งมีตำแหน่งงานมากที่สุดแทบจะว่าได้สำหรับอัตตราเงินเดือนของคนทำงาน สายไอที อันนี้น่าจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้สมัครเอง การเรียกอัตตราเงินเดือนนั้นขึ้นอยู่กับฐานบริษัทเป็นหลัก
1.อาชีพสายฐานข้อมูล (Database Jobs)
ทำหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลขององค์กร
ตัวอย่าง อาชีพสายสายฐานข้อมูล เช่น
- Database Administrator (DBA)
- PL/SQL Developer
- Lotus System Analyst
- Database Architect
- Oracle Database Administrator (DBA)
- Data Warehouse Specialist
- Oracle Programmer
- Data Warehouse Developer
- Oracle Forms Developer
- DB2 Database Administrator
- Lotus Notes Developer
- MySQL Engineer
- MySQL DBA
2.อาชีพสาย CRM/ERP
ทำหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลลูกค้า และระบบจัดการบุคคลากรในหน่วยงาน
CRM : Customer Relationship Management
ERP : Enterprise Resource Planning
ซอฟต์แวร์ยอดนิยมในปัจจุบัน เช่น SAP (Systems, Applications and Products)
ตัวอย่าง อาชีพสาย CRM/ERP เช่น
- ERP Specialist
- SAP Basis Administrators
- SAP Specialist
- SAP Analyst : MM
- SAP Analyst : SD
- SAP Apprication Manager
- SAP Project Manager
- CRM Manager
- CRM Program Management
- CRM Business Data Manager
3.สายเว็บไซต์ (Website)
สำหรับอาชีพสายเว็บไซต์ ปัจจุบันนับเป็นอาชีพ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ตัวอย่าง อาชีพสายเว็บไซต์ เช่น
- Web Programmer / Web Developer ทำหน้าที่พัฒนาแอพลิเคชั่น
- Web Designer ทำหน้าที่ออกแบบความสวยงานของเว็บไซต์
- Web Content ทำหน้าที่ดูแลข้อมูลก่อนนำมาใส่ลงเว็บไซต์
- Web Marketing ทำหน้าที่ทำการตลาด ทำรายได้ให้ตัวเว็บไซต์สร้างมูลค่าขึ้นมาได้
- Web Master / Web Manager ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมเว็บ
- E-Commerce Developer พัฒนาระบบหน้าร้านขายของ
- Creative Web Designer
- Senior Web Designer
- Flash Programmer เน้นพัฒนาแอพลิเคชั่นด้วย Action Script
4.อาชีพสายไอทีอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ตัวอย่าง อาชีพสายไอทีอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น
- นักเขียนหนังสือ (IT Book)
- นักเขียนนิตยสาร/หนังสือพิมพ์ (Columnist)
- นักข่าวสายไอที (Reporters)
- บรรณาธิการนิตยสารไอที
5.อาชีพสายพนักงานไอที
ตัวอย่าง อาชีพสายพนักงานไอที เช่น
- IT Officer
- System Operator
- IT Operator
- Computer Operator


ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 
 
ปัญญา ประดิษฐ์ หรือ เอไอ หมายถึงความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นกับสิ่งที่ไม่มมีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวะกรรมเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงศาสตร์ในด้านอื่น ๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา หรือชีววิทยา Acting Humanly : การกระทำคล้ายมนุษย์ เช่น
      - สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อน ๆ ใช้เสียงสั่งให้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสารให้
      - มีประสาทรับสัมผัสคล้ายมนุษย์ เช่นคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) คอมพิวเตอร์มองเห็น รับภาพได้โดยใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ (sensor)
      - หุ่นยนต์ช่วยงานต่าง ๆ เช่น ดูดฝุ่น เคลื่อนย้ายสิ่งของ
      - machine learning หรือคอมพิวเตอร์เกิดการเรียนรู้ได้ โดยสามาถตรวจจับรูปแบบการเกิดของเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
       Thinking Humanly : การคิดคล้ายมนุษย์ ก่อน ที่จะทำให้เครื่องคิดอย่างมนุษย์ได้ ต้องรู้ก่อนว่ามนุษย์มีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะการคิดของมนุษย์เป็นศาสตร์ด้าน cognitive science เช่น ศึกษาโครงสร้างสามมิติของเซลล์สมอง การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมอง วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ไฟฟ้าในร่างกายระหว่างการคิด ซึ่งจนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มนุษย์เรา คิดได้อย่างไร
       Thinking rationally : คิดอย่างมีเหตุผล หรือคิดถูกต้อง โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ
       Acting rationally : กระทำอย่างมีเหตุผล เช่น agent (agent เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ) สามารถกระทำอย่างมีเหตุผลคือ agent ที่กระทำการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น agent ใน ระบบขับรถอัตโนมัติที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่ สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้จึงจะเรียกได้ ว่า agent กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น agent ในเกมหมากรุกมีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้ เป็นต้น

ทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology)

เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) 
 เทคโนโลยีการสื่อสาร  หมายถึง เทคโนโลยีในการสื่อสารยุคใหม่ 4 กลุ่มได้แก่
      1. เทคโนโลยีการแพร่ภาพและเสียง (Broadcast and Motion  Picture Technology)

      2. เทคโนโลยีการพิมพ์ (Print and Publishing Technology)
      3. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computer Technology)
      4. เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication Technology)

 บทบาทของเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ ดาว-เทียมเพื่อการสื่อสาร โครงข่ายโทรศัพท์ อุปกรณ์ ภาพและเสียง มีผลกระทบต่อ "สื่อแบบดั้งเดิม" (Traditional Media) ซึ่งได้แก่หนังสือพิมพ์ นิตยสารวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทําให้ เกิดสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติแห่งระบบตัวเลข" (Digital Revolution) ทํา ให้ข้อมูลข่าวสารไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด เช่น ข้อความเสียงภาพเคลื่อนไหวรูปภาพ หรืองานกราฟิก ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นภาษาอีกชนิดหนึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมด คือสามารถอ่านและส่งผ่านได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วยังสามารถนําเสนอในลักษณะใดก็ได้ตามความต้องการใชhงานของผู้ใช้งาน ความเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเรียกขานว่า "การทําให้เป็นระบบตัวเลข" หรือ"ดิจิไทเซชั่น" (Digitization)ด้วยระบบที่มีการทําให้เป็นระบบตัวเลข เป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่ทําให้เกิด "สื่อใหม่" (New Media) ขึ้น เป็นสื่อที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับระบบตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบการสะท้อนกลับ หรือ "อินเตอร์ แอคทีฟ"(Interactive)  เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology)  คือเทคโนโลยีดิจิตัล (Digital Technology) ประเภทหนึ่งซึ่งได้พัฒนาตัวเพื่อเอื้อต่อการจัดการ การสื่อสาร(Communication)” หรือ การขนส่งข่าวสาร (Transfer of Information)” เทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภาพ (Image) เสียง (Voice) หรือทางด้านข้อมูล (Data) ได้ รับการพัฒนาจนมนุษย์สามารถเชื่อมโยงติดต่อกันได้อย่างสะดวกรวดเร็วและเป็น เครือข่ายที่ติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก เป็นยุคของสารสนเทศ (Information Age)และเป็นสังคมสาร- สนเทศ (InformationSociety) ที่นับวันจะมีอัตราการเติบโตขึ้นทุกที่ทั้งในด้านขนาดและปริมาณข่าวสารที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม